วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Transmission Media สื่อกลางส่งข้อมูล คืออะไร ?

 การส่งข้อมูลผ่านในระบบเดียวกันต้องคำนึงถึง 2 เรื่องหลัก ๆ คือ

          1. อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Data Rate)
          2. ระยะทาง (Distance)

- Bandwidth 

          Bandwidth คือ ย่านความถี่ของช่องสัญญาณ หากมีช่องความถี่ขนาดใหญ่ การเดินทางจะคล่องตัวมากขึ้น ย่อมส่งผลให้ภายในหนึ่งหน่วยเวลา สามารถเคลื่อนย้ายปริมาณข้อมูลได้จำนวนมากขึ้น

- Transmission Impairments

          Transmission Impairments คือ การอ่อนตัวของสัญญาณ ซึ่งการอ่อนตัวของสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับระยะทางในการส่งผ่านข้อมูล ระยะทางยิ่งไกลสัญญาณก็ยิ่งเบาลงเรื่อย ๆ และไม่มีกำลังในการส่ง เช่น สายคู่บิดเกลียวจะมีความสูญเสียต่อการส่งผ่านข้อมูลภายในสายมากกว่าโคแอกเชียล

- Interference

          Interference คือ การถูกรบกวนของสัญญาณที่คาบเกี่ยวกันในย่านความถี่ อาจส่งผลให้เกิดการบิดเบือนของสัญญาณได้ไม่ว่าจะเป็นสื่อกลางการส่งข้อมูลแบบมีสาย หรือ แบบ ไร้สาย

- Conducted Media

          Conducted Media คือ สื่อกลางส่งข้อมูลแบบใช้สายมีการใช้งานมาเป็นเวลานานเป็นการส่งข้อมูลผ่านท่อไปยังอุปกรณ์

          ตัวอย่างสาย
                1.Twisted-Pair Cable  2. UTP Cable 3. STP Cable 4. Coaxial Cable 5. Optical Fiber Cable

- Wireless Media

          Wireless Media คือ การส่งข้อมูลในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปยังอากาศ หรือ เรียกว่า
การสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless Communication.)

          วิธีการแพร่สัญญาณ
                1. คลื่นดิน (Ground Wave Propagation)
                2. คลื่นฟ้า (Sky Wave Propagation)
                3. คลื่นอวกาศ (Space Wave Propagation)

Grid Computing.

          Grid Computing คือ วิธีการประมวลผลที่เกิดจากการแชร์ทรัพยากร เช่น CPU สำหรับการประมวลผล ระหว่างองค์กรหรือหน่วยงานที่ใช้นโยบายแตกต่างกันไป (คนละบริษัทหรือคนละแผนก) เช่น องค์กร A กับองค์กร B ต้องการแชร์คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งเพื่อประมวลผลโปรแกรมหรือระบบงานเดียวกัน เมื่อองค์กรที่แตกต่างแชร์ทรัพยากรร่วมกันย่อมมีนโยบายที่ไม่เหมือนกัน เช่นการกำหนดสิทธิและขอบเขตในการใช้ทรัพยากรที่แตกต่างกันและจำเป็นต้องอาศัยระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพรวมไปถึงความต้องการระบบ Single-Sign-On (หรือการล็อกอินครั้งเดียว แต่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้หลายเครื่องหรือใช้โปรแกรมได้หลายโปรแกรม) ทั้งนี้ เนื่องจากมีคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่แตกต่างกันเข้ามาเกี่ยวข้อง ระบบ user accountในการล็อกอินเข้าใช้งานระบบย่อมไม่เหมือนกัน จึงต้องพึ่งพาระบบ Single-Sign-On นั่นเอง และยังเป็นเป็นเทคโนโลยี (Grid Technology)  หรือนวัตกรรม(Innovation)ที่ได้ผ่านการวิจัยและพัฒนาขึ้นมา เพื่อให้ระบบทำการคำนวณหรือประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน ด้วยสมรรถนะสูง โดยได้จัดเอาทรัพยากรด้านคำนวณหรือทรัพยากรประมวลผลด้านคอมพิวเตอร์  ซอฟต์แวร์ เครื่องมือ  อุปกรณ์ต่าง ๆ  มาทำการต่อเชื่อมโยงให้ถึงกัน ให้ทำงานร่วมกันเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่เพียงระบบเดียวในรูปแบบของ Grid เพื่อทำการคำนวณหรือประมวลผลข้อมูลพร้อมกันในเวลาเดียวกัน โอนถ่ายข้อมูลระหว่างกันไม่ว่าทรัพยากรดังกล่าวจะมีลักษณะแตกต่างกัน รุ่นเก่า  หรือรุ่นใหม่ไม่ได้ใช้งานบางช่วงเวลา หรือไม่ถูกใช้งานจะอยู่ใน Cluster เดียวกันหรืออยู่คนละ Cluster อยู่ในสถานที่คนละแห่งที่ห่างไกลกันแค่ไหนก็สามารถจะทำการประมวลผลร่วมกันได้  ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ระบบเดียวที่ได้ดังกล่าวนี้จะทำงานเสมือนเป็น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เครื่องเดียวที่มีราคาต้นทุนต่ำและสามารถประมวลผลข้อมูลตามแบบของ Grid  Computing  คือจัดให้ประมวลผลแบบขนาน (Parallel  Processing) หรือ ๖(Parallel Computing)  เพื่อให้ทำงานพร้อมกัน หากส่วนใดในระบบขัดข้องหรือไม่ทำงานระบบก็ยังจะทำงานต่อไปได้  เพราะมีซอฟต์แวร์กลางพิเศษช่วยจัดการดูแลตรวจสอบสถานะของระบบกริดตลอดเวลา ซึ่งเรียกว่า  Middleware



ชนิดของกริด (Grid)
          ชนิดของกริดพื้นฐานที่รู้จัก จะมีอยู่ 3 ชนิด และสามารถไปประยุกต์ใช้งานได้ในหลาย ๆ  ด้าน เช่น
ภาคอุตสาหกรรม  ภาควิชาการ  การศึกษา  การวิจัย
          1. Information Grid
          2. Resource Grid
          3. Service Grid


ตัวอย่าง ชนิดของ Grid พื้นฐานในรูปแบบต่าง ๆ โดยทำงานร่วมกัน ผ่านเครือข่าย Internet


World Wide Grid (WWG) and World Wide Web (WWW) คืออะไร

          - World Wide Grid (WWG) คือ เทคโนโลยีที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการเชื่อมโยงและกระจายทรัพยากรให้กัน ในการประมวลผล ความจุ หรือ การถ่ายโอนข้อมูล ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
          - World Wide Web (WWW) คือ การบริการอินเตอร์เน็ตที่นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร และข้อมูลสารสนเทศจากเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องที่ต้องการเสนอให้คนทั่วโลกได้รับรู้ผ่านอินเตอร์เน็ต 
โดยใช้โปรโตคอล HTTP ในการติดต่อสื่อสาร และคอมพิวเตอร์นั้น ๆ เรียกว่า Web Server นั่นเองครับ

การนำ Grid Computing มาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ 

          1. ด้านเทคโนโลยี
          2. ด้านสภาวะอากาศ
          3. ด้านภูมิประเทศ
          4. ด้านฐานข้อมูล

รูปภาพจาก: www.google.com

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Cloud Computing.

ตามหลักของ Wikipedia ได้ให้ความหมายของ cloud computing
          Cloud Computing หมายถึง ทรัพยากรสำหรับการประมวลผลที่จัดเตรียมและจัดการโดยบุคคลหรือองค์กรที่สาม (Third Party) โดยทรัพยากรเหล่านี้ถูกจัดเตรียมไว้ที่  Data Center จากนั้น ผู้ใช้ของ Cloud Computing สามารถเข้าไปใช้งานทรัพยากรเหล่านี้โดยการซื้อได้ตามที่ต้องการโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคำนึงเลยว่าทางผู้ให้บริการทรัพยากรจะบริหารทรัพยากรให้มีความสามารถขยายตัวด้วยวิธีอะไร  แต่ประโยคสุดท้ายเขาได้กล่าวว่า การที่ Cloud Computing จัดเตรียมความสามารถที่ระบบสามารถขยายตัวได้ตามความต้องการของผู้ใช้ (increasing option) ก็เป็นเรื่องท้าทายที่ผู้พัฒนาระบบจำเป็นจะต้องเป็นห่วงเป็นกังวลแทน นั่นหมายความว่า ถ้าหากผู้ใช้ต้องการทรัพยากรมากกว่าที่ผู้ให้บริการจะเตรียมให้ได้ ผู้ให้บริการจะต้องค้นหาวิธีใดๆก็ตามเพื่อสนองต่อความต้องการที่เพิ่มมาแบบฉับพลันนี้ให้ได้ อย่างเช่น ผู้ให้บริการอาจจะต้องกลายเป็นผู้ใช้หรือลูกค้าของผู้ให้บริการเจ้าอื่นๆเป็นทอดๆ เป็นต้น
 ความหมายของ Cloud Computing
          Cloud Computing คือ วิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบ Cloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็นเช่นไร
            Cloud Computing นั้นเป็น  "Anywhere! Anytime!"  คือทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนก็ตาม ขอแค่มี Internet  กับ Computer สักตัว คุณก็ทำงานได้แบบ 24/7 (24 ชั่วโมง 7) 

รูปแบบของ Cloud Computing





     จากภาพด้านบนเป็น server ผู้ให้บริการเพื่อให้สามารถให้บริการ Client ได้ทั่วโลกพร้อมๆกัน โดย Cloud Computing นั้นมีหลักการคือจะมี Client กับ Server  โดยในฝั่ง Server จะมีหน้าที่ในการประมวลผลคำสั่งต่างๆที่ถูกร้องของจาก Client  โดยการทำงานง่ายๆก็คือ เพียงแค่ใช้ internet browser ในการทำงาน  ก็เรียกใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม


เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Cloud Computing
  • Agility (การทำงานที่รวดเร็ว) ผู้ใช้จะรู้สึกเหมือนทุกอย่างผ่านไปอย่าง
  • Cost (ลดค่าใช้จ่าย) ช่วยลดค่าใช้จ่ายในองค์กร และอาจฟรีสำหรับ Client
  • Device and location independence (ห่างไกลไร้พันธนาการ) ใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
  • Multi-tenancy (การแบ่งทรัพยาการ) สามารถแบ่งทรัพยากรไปให้ผู้ใช้จำนวนมาก  เช่น  Centralization สร้างจุดศูนย์รวมบริการอย่าง Real estate ขายบ้าน เป็นต้น
  • Reliability (ความน่าเชื่อถือ) ในทางธุรกิจแล้ว ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งดึงดูดกำไรเข้าองค์การเลยก็ว่าได้ มีความพร้อมสำหรับการรับมือกับภัยคุกคามข้อมูลต่างๆมากแค่ไหน
  • Scalability (การขยายของเทคโนโลยี) พร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้ใช้ และเตรียมรองรับเทคโนโลยีหลายๆรูปแบบ
  • Security (ปลอดภัย) สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ และยิ่งใน Cloud Computing แล้วข้อมูลรวมอยู่ที่เดียวกัน ก็ยิ่งต้องเพิ่มความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น
  • Sustainability (มั่นคง) โครงสร้างที่แข็งแรง
รูปภาพจาก: www.google.com